จุฬาราชมนตรีกับโฉมหน้าชาวไทยมุสลิมในสังคมที่เปลี่ยนผ่านสู่ศตวรรษที่ 21
- ชนานันท์ มุสตอฟาดี
- May 28
- 9 min read

นำเสนอครั้งแรกในงานประชุมวิชาการมุสลิมศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ "การเปลี่ยนของสังคมมุสลิมในสังคมไทย ในรอบ 100 ปี" วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จัดโดย ศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา ร่วมกับเครือข่ายทางวิชาการ
บทนำ
“...ภาพลักษณ์ของมุสลิมในสายตาของสื่อและผู้ที่ขาดความเข้าใจในอิสลามจานวนไม่น้อยมัก
เชื่อมโยง ศาสนาอิสลามกับความรุนแรง การกดขี่ผู้หญิงหรือมองว่าชาวมุสลิมเห็นแก่ตัว อยู่กับใคร
ไม่ได้ รักแต่พวกเดียวกัน” ( สุชาติ เศรษฐมาลินี 2016 : น.3. )
ข้อความนี้สะท้อนมุมมองของนักวิชาการมุสลิมต่อทัศนะบางประการของผู้ไม่ใช่มุสลิม (Non
- Muslim) ในช่วงเวลาที่ “อาการกลัวมุสลิม (Islamophobia)4” ขยายไปทั่วโลก
ความกลัวมุสลิม ถ้ามองดังที่ตาเห็นเพียงประการเดียวคือความรุนแรง ตัวอย่างคือความ
รุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย5 ดังนั้น เมี่อใช้กาลังปราบปรามผู้ก่อความ
รุนแรง นอกจากไม่สามารถยุติ ปัญหาได้แล้ว ยังได้รับผลสะท้อนกลับเป็นความรุนแรงเพิ่มขึ้น
นักวิชาการบางคนได้ศึกษาปัญหานี้ เช่น ศรีสมภพ จิตต์ภิรมย์ศรี อธิบายถึงสาเหตุของปัญหาว่าเกิด
จากการขาดความรู้พื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรม ความเป็น ประวัติศาสตร์ของมลายู - ปัตตานี การ
ปฏิเสธอัตลักษณ์หรือความเป็นมุสลิมและความรู้ความเข้าใจในเรื่องความ เชื่อทางศาสนา (ศรีสมภพ
จิตต์ภิรมย์ศรี 2009 : น.71.) และจุดมุ่งหมายประการหนึ่งในการจัดประชุมวิชาการ มุสลิมศึกษา
ระดับชาติ ครั้งที่ 1 โดยศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นก้าวสาคัญในการระดม
ความคิดนักวิชาการ เพื่อแก้ภาพลักษณ์มุสลิม รวมทั้งเรื่องความกลัวมุสลิมด้วย
จุดมุ่งหมายของบทความนี้ ไม่ได้ศึกษาเรื่องความกลัวมุสลิมแต่พยายามอธิบายว่าการ
เปลี่ยนแปลง สังคมไทยช่วงศตวรรษที่ 20 มีผลต่อความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้และก่อให้เกิด
ผลพวงคือความกลัวมุสลิม และความกลัวนี้อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อสังคมไทยยังคงมุ่งไปในทิศทาง
แบบตะวันตกแต่เพียงอย่างเดียว ถ้าสังคมขาดความตระหนัก แต่จุดมุ่งหมายสาคัญของบทความนี้คือ
การทวนกระแสโดยการเสนอแนะสถาบันจุฬาราชมนตรี ให้ปฏิรูปเพื่อเป็นทางเลือกและมีส่วนในการ
บรรเทาปัญหาและปรับปรุงภาพลักษณ์มุสลิมในเชิงบวก
3 ผู้ทรงคุณวุฒิกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการบานาญสังกัดภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บรรยายในงานประชุมวิชาการมุสลิมศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 1 ประจาปีการศึกษา วันที่ 18 –
19 ตุลาคม ค.ศ. 2023 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4 อาการกลัวมุสลิม คือ ความรู้สึกและทัศนคติต่อศาสนาอิสลามหรือมุสลิมในแง่ลบ หรือความเดียดฉันท์และความเกลียดกลัว
อย่าง รุนแรง (https://th.wikipedia.org/wiki/อาการกลัวอิสลาม) เป็นอคติที่เหมารวมเพราะไม่ใช่มุสลิมทุกคนนิยมความ
รุนแรง ทั้งบาง กลุ่มบางคนยังเป็นเหยื่อของความรุนแรง ดังเช่น เหตุการณ์รุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
5 อ่านเรื่องความรุนแรงและความสูญเสียเพิ่มเติมใน ศรีสมภพ จิตต์ภิรมย์ศรี “สถานการณ์ภาคใต้ ปัญหาและทางออก”
มุสลิม : มายาคติทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หน้า 68 – 76.
12
มุสลิมกับสังคมไทยปนฝรั่งในช่วงเวลาแห่งความทันสมัย
ความทันสมัยคือการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบจารีตเป็นสังคมทันสมัย ภายหลังเปลี่ยนแปลง
การปกครอง เมื่อ ปี 1932 (พ.ศ. 2475) ผู้นาคณะราษฎรเช่น นายปรีดี พนมยงค์ และจอมพลแปลก
พิบูลสงคราม ผู้ผ่าน ประสบการณ์จากการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ได้ปรับปรุงประเทศไทยให้ทันสมัย
ต่อเนื่องจากสมัยที่ไทยปฏิรูป บ้านเมืองสมัยรัชกาลที่ 4 – 6 โดยการเลียนแบบชาวตะวันตก
เช่นเดียวกัน ด้วยความคาดหวังว่าประเทศไทยจะมี ความเจริญมั่งคั่ง ด้วยเหตุนี้การพัฒนาประเทศใน
เวลาต่อมาจึงมีประเทศตะวันตกเป็นแม่แบบ
สถานการณ์ที่ทาให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสาคัญคือ นโยบายชาตินิยมสมัยจอมพล
แปลก พิบูลสงคราม ที่มีจุดมุ่งหมายสร้างความเป็นเอกภาพของประเทศ ภายใต้ความเป็นชาติพันธุ์
เดียวกันคือเผ่าไทย รวมทั้ง รัฐนิยมที่ประกาศเชิญชวน (แกมบังคับ) ให้ประชาชนปฏิบัติตาม เช่น
มารยาทหรือการแต่งกายแบบชาวตะวันตกที่ ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีวัฒนธรรม
สถานการณ์ที่ทาให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมทันสมัยคือ อิทธิพลวัฒนธรรมอเมริกันที่
สืบเนื่องจากการทาสงครามเย็น (ระหว่าง ค.ศ. 1947 - 1991) ซึ่งเป็นเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นา ฝ่ายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ความ
ทันสมัยแบบอเมริกัน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ อาหาร เครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ มารยาทแบบ
อเมริกันและการสันทนา อาทิ ภาพยนตร์ เต้นรา ไนท์คลับและ การบริการทางเพศ เฟื่องฟูทั้งในสังคม
กรุงเทพและเมืองใหญ่ ทาให้วิถีชีวิตของคนไทยและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เป็นตึกราม บ้านช่อง
ถนน โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และการคมนาคม
สาหรับสถานการณ์ปัจจุบันคือยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งก็คือการขยายตัวของความทันสมัยที่โลกถูก
ทาให้แคบลง ด้วยระบบคมนาคมและการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีระดับสูง วิถีชีวิตของคนไทยได้รับ
ความสะดวกสบายยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้ความทันสมัยแบบญี่ปุ่น จีน หรือเกาหลีใต้ เป็น
กระแสคลื่นที่พัดเข้ามาเป็นระลอกใน สังคมไทยอย่างรวดเร็วแทนที่ความทันสมัยแบบตะวันตก
ในขณะที่สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในภาวะโลกายนิยม6 (Secularization) ที่ศาสนา
เป็นเรื่องความ เชื่อความศรัทธาส่วนบุคคล แต่สังคมชาวไทยมุสลิมกลับมีการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบ
ตรงกันข้ามคือ ลดภาวะความ เป็นโลกายนิยม (Desecularization) เมื่อย้อนกลับไปดูโลกระหว่าง
ศตวรรษที่ 18 - 20 ประเทศในยุโรปได้สร้าง ชาติเป็นแบบสมัยใหม่ มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมและ
เทคโนโลยี รวมทั้งอุดมการณ์ชาตินิยมที่ผลักดันให้ชาวยุโรป แสวงหาวัตถุดิบเพื่อป้อนโรงงาน แสวงหา
ตลาดรับซื้อสินค้าที่ผลิตจากโรงงานและแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียงให้กับ ชาติด้วยการยึดครองดินแดน
6 ยูวัล โนอาห์ แฮรารี ให้ความหมายว่า โลกายนิยม (คามิยนิยม) มีหลายความหมาย บางครั้งอาจถูกนิยามว่าเป็นการปฏิเสธ
ศาสนา ผู้เป็นโลกายนิยมไม่เชื่อในพระเจ้าหรือเทวดาใด ๆ ไม่ไปโบสถ์หรือวิหารและไม่ทาพิธีกรรมทางศาสนา (ยูวัล โนอาห์
แฮรารี 2019 : น.278.) พระระพิน พุทฺธิสาโร ได้ให้คาจากัดความโลกายนิยมว่าในรูปแบบที่แท้จริงแล้ว โลกายนิยมจะติเตียน
ความเป็นอนุรักษ์ นิยมของศาสนาและมีความเห็นว่าศาสนาเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของมนุษย์ เพราะเน้นความเชื่องม
งายและสิทธันต์ (dogma) (วางหลักเกณฑ์โดยปราศจากเหตุผล - ผู้เขียน) เหนือเหตุผลและเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วย
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (พระระพิน พุทฺธิสาโร (ด้วงลอย) 2554 : น.56.)
13
ในทวีปโพ้นทะเลเป็นอาณานิคม ทาให้อิทธิพลของชาวยุโรปทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
กระจายไปทั่วโลก
ในดินแดนตะวันออกกลาง ปฏิกิริยาของมุสลิมต่ออิทธิพลของชาวยุโรปมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่
การชื่นชม การเผชิญหน้า และการต่อต้าน สิ่งที่น่าสนใจคือการฟื้นฟูอิสลาม (Islamic Revival)7 ที่
เติบโตและกระจายอย่าง รวดเร็วในโลกอิสลาม8 ปฏิกิริยาของมุสลิมที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นการลด
ความเป็นโลกายวิสัย ที่ได้กระจายจาก ภายนอกสู่สังคมไทย ดังจะเห็นได้จากฮัจยีสุหลง อับดุลกาเดร์
นักการศาสนาผู้สาเร็จการศึกษาจากประเทศ ซาอุดิอาระเบีย เมื่อกลับถึงประเทศไทย ท่านเห็นว่า
สังคมปัตตานีอยู่ในสภาพย่าแย่ ศีลธรรมหย่อนยาน ผู้คน หลงใหลงมงายกับไสยศาสตร์และสิ่งลี้ลับ
เป็นจานวนมากที่ขัดแย้งกับหลักศาสนาอิสลาม (บูฆอรี ยีหมะ 2006 : น. 23.) ต่อมาฮัจยีสุหลง อับดุล
กาเดร์ได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการ แต่ไม่สาเร็จ (บูฆอรี ยีหมะ 2006 : น.26. อ้าง จาก เด่น โต๊ะมี
นา เลือดเนื้อใช่เชื้อไฟ 2004 : น.49-50.) แม้ว่าการเรียกร้องครั้งนี้จะไม่สาเร็จ แต่ภายหลังมีกลุ่ม
การเมืองวาดะห์ มีนายเด่น โต๊ะมีนา เป็นผู้ก่อตั้ง (ดูเพิ่มเติมในบูฆอรี ยีหมะ ด. : น.44-46 และ น.61-
68.) จารูญ เด่นอุดม ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ข้อเรียกร้องนี้เป็นการขอให้คนในพื้นที่ได้ปกครองตนเองโดย
อยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในลักษณะ autonomy ไม่ใช่เรียกร้องให้แยกดินแดน เป็นแนวคิดที่
ก้าวหน้ามาก (พล.ต.ต.จารูญ เด่นอุดม 2007: น.62.) ปฏิกิริยาของฮัจยีสุหลง เป็นปฏิกิริยาระหว่าง
มุสลิมกับรัฐที่สนับสนุนพระพุทธศาสนาบนพื้นฐานของความ เป็นชาตินิยม นอกจากนี้ในกลุ่มชาวไทย
มุสลิม ยังมีแนวคิดและปฏิบัติการฟื้นฟูศาสนาอีกหลายกลุ่ม เช่น ในกลุ่ม สานักคิดสุหนี่ด้วยกันได้
แบ่งเป็น กลุ่มคณะใหม่กับคณะเก่าซึ่งเป็นผู้รู้ด้านศาสนา แต่สองฝ่ายขัดแย้งกันในเรื่อง วิธีการปฏิบัติ
ทางศาสนา (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2014 : น.34.) คณะใหม่ถือว่าคณะเก่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ในกลุ่ม
สานักคิดชีอะฮ์แบ่งเป็น กลุ่มชีอะฮ์เก่าผู้สืบทอดประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใน
สยามอย่าง ยาวนานและได้สืบเนื่องพิธีกรรมอาชูรอ (เจ้าเซ็น) เพื่อระลึกถึงอิหม่ามอาลี ส่วนกลุ่มชีอะฮ์
ใหม่เกิดขึ้นภายหลังการ ปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน โดยอายะตุลลอฮ์ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี เมื่อ ค.ศ. 1979
กลุ่มชีอะฮ์ใหม่บางคนได้ไปศึกษาที่ ประเทศอิหร่านจนมีความแตกฉานด้านศาสนา เรียกผู้รู้เหล่านี้ว่า
“เชค” (ธีรนันท์ ช่วงพิชิต 2008 : น.218.)
ย้อนกลับมาอธิบายถึงปฏิกิริยาของชาวไทยมุสลิมต่อการเป็นโลกายนิยมของสังคมไทยคือการ
ฟื้นฟูและ ปฏิรูปอิสลามตามหลักศาสนา ศราวุฒิ อารีย์ อธิบายว่า “มุสลิมจานวนมากเชื่อว่าสถาบัน
อุดมการณ์และแนวคิดบางส่วน (ไม่ใช่ทั้งหมด) ของตะวันตกเป็นเสมือนภัยคุกคามต่อกฎหมายอิสลาม
และค่านิยมเชิงวัฒนธรรมของชาว มุสลิม ในบรรดาแนวคิดที่ถูกนาเข้ามาจากตะวันตกทั้งหมด ดู
เหมือนว่าแนวคิดโลกายวิสัยมักถูกฉายภาพให้เป็นภัย คุกคามที่อันตรายมากที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะแกน
หลักสาคัญของแนวคิดโลกายวิสัยคือการแยกเรื่องทางโลกออกจาก ทางธรรมหรือแยกศาสนาออกจาก
อาณาจักร ซึ่งเป็นหลักการที่มิอาจยอมรับได้ในโลกมุสลิม....” (ศราวุฒิ อารีย์ 2014 : น.109.)
7 ขบวนการฟื้นฟูอิสลาม มีแนวคิดเรียกร้องให้ประชาคมมุสลิมหันกลับไปยึดแนวทางศาสนา เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมทั้งหมด
ฟื้นฟู ความบริสุทธิ์ของอิสลามและมุ่งที่จะกาหนดให้รัฐนั้นเป็นรัฐอิสลาม (ศราวุฒิ อารีย์ 2014 : น.111 และ 117.)
8 ขบวนการปฏิรูปอิสลาม มีแนวคิดรับรู้ความเจริญทางโลกายนิยม โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (อัน
เป็น รากฐานที่ก่อให้เกิดความเข้มแข็งทางทหาร) ถือเป็นเครื่องมือสาคัญอันนาไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ที่โลกอิสลามไม่สามารถ
ปฏเสธได้ แต่ไม่ได้ยอมรับทั้งหมด (ศราวุฒิ อารีย์ 2014 : น.17.)
14
นอกจากนี้ยังมีวิธีคิดของนักปฏิรูปมุสลิมต่อกรณีภาวะความเป็นสมัยใหม่ (modernity) ที่พยายาม ใช้
ทั้งเหตุและผล พิจารณาวิเคราะห์ถึงความต่างและความสอดคล้องระหว่างภาวะความทันสมัยและ
แนวคิดโลกาย วิสัยนิยม (ศราวุฒิ อารีย์ 2014 : น.109.) ส่วน เสาวณีย์ จิตต์หมวด กล่าวว่า อิสลาม
เป็นวัฒนธรรมเพราะเป็นวิถี ในการดาเนินชีวิตที่วางรูปแบบแห่งพฤติกรรมของมุสลิมไว้อย่างสมบูรณ์
ที่สุด หากแต่วัฒนธรรมอิสลามต่างไปจาก วัฒนธรรมอื่นในประเด็นที่ว่า วัฒนธรรมอิสลามมิได้สร้าง
ขึ้นโดยมนุษย์ แต่ผู้สร้างประทานวัฒนธรรมอิสลามให้แก่ มนุษยชาติคือ อัลลอฮ์ มนุษย์มีหน้าที่แต่
เพียงเป็นผู้รับ ผู้ปฏิบัติ ผู้ถ่ายทอดและสืบทอดวัฒนธรรมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ วัฒนธรรมอิสลามด้วยตัว
ของสาระและการปฏิบัติจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นดังวัฒนธรรมอื่น (เสาวณีย์ จิตต์หมวด 1992 : น.
380.) ตัวอย่างที่บรรยายมาแล้วนั้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นพลวัตรของโลกมุสลิมที่อยู่ภายใน
สังคมไทยซึ่งก็มีพลวัตร แต่การเคลื่อนไหวเป็นไปในทิศทางที่หลากหลาย ซาฟิอี บารู ให้ความเห็นว่า
สรุปไม่ว่าทุก คน (ทั้งมุสลิม - และผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม - ผู้เขียน) อยู่ในสังคมโลกาภิวัตน์ ซึ่งทาให้โลกไร้
พรมแดน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นใน ยุคโลกาภิวัตน์ก็จะมีการเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เราไม่คาดฝันอาจ
เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือเนื่องจากสังคมอิสลาม ต้องยึดศาสนาเป็นวิถีชีวิตและจะต้องมีภาคปฏิบัติไม่ใช่
แค่ความเชื่อ สิ่งที่อิสลามปฏิบัติก็เลยปะทะหรือ clash (ซาฟิ อี บารู 2009 : น.77.) คาอธิบายของ
นักวิชาการนี้เป็นคาตอบที่อาจสรุปได้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีสาเหตจากการนับถือศาสนา
ต่างกัน แต่อยู่ตรงที่การขาดความรู้ความเข้าใจร่วมกัน โดยเฉพาะสิ่งที่มุสลิมผู้เคร่งครัด ประพฤติ
ปฏิบัตินั้น เขาคิดว่าจาเป็นเพราะเป็นสิ่งที่ได้บัญญัติไว้เป็นหลักของศาสนา
จุฬาราชมนตรีในยุคทันสมัย
จุฬาราชมนตรีเป็นสถาบันเก่าแก่สืบเนื่องในสังคมไทยเป็นเวลานานประมาณ 400 ปีมาแล้ว
ในช่วงเวลา ดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน จุฬาราชมนตรีได้เป็นผู้นาไทยมุสลิมฝ่าฟันอุปสรรคต่อเนื่องมาทุก
ยุคสมัย ในยุคทันสมัยมีผู้ ดารงตาแหน่งจุฬาราชมนตรี 5 ท่าน9 ดังนี้
ตารางที่ 1 รายชื่อจุฬาราชมนตรีในยุคทันสมัย
รายชื่อจุฬาราชมนตรี ระยะเวลาที่ดารงตาแหน่ง
จุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ ค.ศ. 1945 - 1947
จุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์ ค.ศ. 1948 – 1981
จุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด ค.ศ. 1981 – 1997
จุฬาราชมนตรีสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ค.ศ. 1997 – 2010
จุฬาราชมนตรีอาศีส พิทักษ์คุมพล ค.ศ. 2010 – ปัจจุบัน
9 ทว่าขอบเขตการศึกษาบทความนี้ กาหนดเวลาเพียงแค่ ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นปีที่นายแช่ม พรหมยงค์รับตาแหน่งจุฬาราชมนตรี
และ สิ้นสุดลงในปี 2010 ซึ่งเป็นปีที่จุฬาราชมนตรีสวาสดิ์ สมาลยศักดิ์ถึงแก่อนิจกรรม
15
ช่วงเวลา 65 ปีที่ผ่านมาจุฬาราชมนตรีได้ทาหน้าที่ทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือ
จุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ ได้รับการเสนอชื่อจากรัฐบาลโปรดเกล้าให้พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว ร.8 แต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรี เมื่อ ค.ศ. 1945 จุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ เป็นผู้มี
ความรู้เรื่องศาสนาอิสลามเป็นอย่างดี เนื่องจากได้รับ การศึกษาศาสนาจากสถาบันศาสนาหลายแห่ง
รวมทั้งที่มหาวิทยาลัย อัล อัซฮัร (Al-Azhar University) ซึ่งมี ชื่อเสียงของอียิปต์ แต่ความผันผวน
ของการเมืองในช่วงเวลานั้น จุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ ดารงตาแหน่งได้ เพียง 2 ปี ก็ต้องลี้ภัยไป
พานักอยู่นอกประเทศ ถึงแม้ว่าการดารงตาแหน่งจุฬาราชมนตรีมีระยะเวลาสั้น แต่ท่านมี ส่วนผลักดัน
ให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พุทธศักราช ๒๔๘๘ โดยให้มี
จุฬาราชมนตรีเป็นผู้นาทางศาสนาอิสลาม และเป็นที่ปรึกษาในพระมหากษัตริย์เกี่ยวกับกิจการ
ศาสนูปถัมภ์ ให้มี คณะกรรมการอิสลามประจาจังหวัด ให้มีดะโต๊ะยุติธรรม ให้มัสยิดหรือสุเหร่าเป็น
นิติบุคคล และให้ความสะดวกในการจัดตั้งมัสยิด ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ออกมาภายหลัง (สุพจน์
ด่านตระกูล 2547 : น.68.) จุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ จึงเป็นผู้วางรากฐานการบริหารกิจการ
ศาสนาอิสลามและสานักจุฬาราชมนตรีในยุคทันสมัยของไทย
จุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์ ดารงตาแหน่งภายหลังจากจุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์
พ้นจาก ตาแหน่ง ครั้งนั้นประธานกรรมการอิสลามประจาจังหวัด ได้เสนอชื่อเพื่อให้ พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ร.9 โปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรี เมื่อ ค.ศ. 194710 การที่ท่านได้รับคัดเลือกให้
ดารงตาแหน่งจุฬาราชมนตรี เนื่องจากท่านเป็นผู้มีความรู้ด้านศาสนาแตกฉานจากการไปศึกษาที่
ประเทศซาอุดิอาระเบียและการเป็นครูสอน ศาสนา ทั้งนี้จะเห็นได้จากผลงานสาคัญคือการแปลมหา
คัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทย
จุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์ ได้อธิบายว่าการแปลหนังสือเล่มนี้ ท่านอยู่ในฐานะนากิล
คือ ผู้ค้นคว้า เรื่องศาสนาจากตาราที่นักปราชญ์ได้เขียนและท่านอยู่ในฐานะมุกอลลิต คือผู้ถือปฏิบัติ
ศาสนกิจตามที่นักปราชญ์ เหล่านั้นได้เขียนไว้ในคัมภีร์เท่านั้น (ต่วน สุวรรณศาสน์ 1968 : น.3.)
สาหรับวิธีการแปลใช้วิธีแปลความหมาย ไม่ได้แปลเฉพาะความ เพราะวิธีการแปลเช่นนี้สะดวกสาหรับ
ผู้แปล แต่ยากสาหรับผู้อ่าน ทั้งยังเสี่ยงต่อการเข้าใจ ความหมายของแต่ละโองการด้วยตนเอง (ต่วน
สุวรรณศาสน์ ด.: น.1-2.) ผลจากการแปลมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ทาให้ไทยมุสลิมที่ไม่มีความรู้ภาษา
อาหรับดีพอที่จะอ่านจากต้นฉบับ สามารถอ่านฉบับความหมายภาษาไทยได้ด้วย ตนเองและเป็นแหล่ง
ความรู้ที่เป็นมาตรฐานที่ลดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับหลักคาสอนของศาสนาอิสลามในหมู่ไทยมุสลิม ใน
ท้องถิ่น ผลพวงที่สาคัญประการหนึ่ง ประเทศไทยที่แม้ว่ามีประชากรส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา
แต่ได้ร่วมปี ที่ทั่วโลกจัดงานฉลองมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เนื่องในโอกาสครบรอบ 14 ศตวรรษ เมื่อ ค.ศ.
196411 นับเป็นเกียรติ ของประเทศและชาวไทยมุสลิม
10 สมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ได้เชิญประธานกรรมการอิสลาม
ประจา จังหวัดทุกจังหวัดมาประชุม เพื่อเสนอชื่อบุคคลที่สมควรจะได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรี (เอกราช มู
เก็ม 2006 : น. 44.)
11 อ่านเพิ่มเติมใน พลับพลึง คงชนะ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิต ลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบ
ดินทรสยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตรกับคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับความหมายภาษาไทย ” : วารสารประวัติศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปีที่ 42 ฉบับสิงหาคม 2560 – กรกฎาคม 2561 น.12-29.
16
อย่างไรก็ตาม ในสมัยของจุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์ มีเหตุการณ์สาคัญคือ ฮัจยีสุหลง
ได้ยื่นข้อ เรียกร้อง 7 ประการ เหตุการณ์ดุซงญอ เมื่อ ค.ศ. 1945 ที่เกี่ยวกับตวนกูอับดุลกอเดร์ กามา
รุดดีน หนึ่งใน พระโอรสของอดีตสุลต่านปัตตานี และเหตุการณ์สะพานกอตอ ค.ศ. 1975 ที่เชื่อว่า
ทหารนาวิกโยธินได้ฆ่าหมู่ 6 ศพ จนนาไปสู่เหตุการณ์การเดินขบวนประชาชนครั้งใหญ่ในปัตตานี
(บูฆอรี ยีหมะ 2006 : น.45) และได้นาศาสนา เข้ามาเป็นประเด็นในการต่อสู้ (พันธกร นามดี 1975 :
น.55-56.) ต่อมาเหตุการณ์ได้คลี่คลาย แต่เป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้มุสลิมในพื้นที่ภาคใต้ก่อความ
รุนแรง เพื่อต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐและเรียกร้องความเป็นธรรมที่ต่อเนื่องถึง ปัจจุบัน12 ในยุคของ
จุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์ เมื่อ ค.ศ. 1979 ได้เกิดการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งมี ลักษณะ
พิเศษคือเป็นการเปลี่ยนรัฐให้เป็นรัฐอิสลาม อิทธิพลของการปฏิวัติครั้งนี้ได้กระจายเข้ามาในโลกของ
ชาว ไทยมุสลิมด้วย
จุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด ได้รับการคัดเลือกจากประธานกรรมการอิสลามประจา
จังหวัดเสนอ ชื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 โปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีเมื่อ ค.ศ.
1981 จุฬาราชมนตรี ประเสริฐ มะหะหมัด เป็นผู้มีความรู้ด้านอิสลามอย่างแตกฉาน สาเร็จการเรียน
จากมหาวิทยาลัยในประเทศ ซาอุดิอาระเบียและเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนศาสนา
ในสมัยของจุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด ได้ตอบคาถามข้อสงสัยเกี่ยวกับศาสนา
อิสลาม13 เพื่อพยายามแก้ไขความขัดแย้งในสังคม ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสมัยจุฬาราชมนตรี
ต่วน สุวรรณศาสน์ โดย ยืนยันว่าการปฏิบัติ (หมายถึงปฏิบัติของมุสลิม - ผู้เขียน) บางประการที่
ขัดแย้งกับความนิยมของสังคมไทยส่วน ใหญ่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มีความจาเป็นต้องปฏิบัติตาม
หลักการของอิสลามอย่างเคร่งครัด14 (จุฬาราชมนตรี มปพ : น.144) อีกทั้งยังมีแนวคิดการให้มีศูนย์
บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการ บริหารงานด้านศาสนาโดยไม่ต้อง
ย้ายสถานที่ตามที่อยู่ของจุฬาราชมนตรี จากปี 1990 ที่จุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด ปรารภไว้
ปัจจุบันชาวไทยมุสลิมมีสถานที่ใหญ่โตงดงามเรียกว่าศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลาม แห่งชาติเฉลิม
พระเกียรติ15
ในสมัยจุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด ได้เกิดเรื่องกรณีขบวนการกู้ชาติปาเลสไตน์กลุ่ม
กันยายนทมิฬ (Black September) บุกยึดสถานทูตอิสราเอลที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม
1972 แล้วจับคนในสถานทูตเป็น ตัวประกันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษชาว
อาหรับ ครั้งนั้นจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นาสวดวิงวอน ให้พวกขบวนการกู้ชาติปาเลสไตน์ยุติการ
ปฏิบัติการ ในที่สุดสถานการณ์ ได้คลี่คลายโดยไม่มีการเข่นฆ่าผู้ใด ทาให้ในครั้งนั้นไทยได้รับการ
12 อ่านเพิ่มเติมใน พันธกร นามดี “การประท้วงครั้งใหญ่ปัตตานี พ.ศ. 2518 : บทเรียนที่ถูกลืม”. วารสารมนุษยสังคมปริทศน์
(มสป.) ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564 : น.50-61.
13 ศูนย์อานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศ.อ.บ.ต.) เป็นผู้รวบรวมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ 5 จังหวัด ได้แก่
สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยสานักจุฬาราชมนตรีเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมพิจารณาและตอบ เช่น นาย
สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ นายวินัย สะมะอุน ร่วมตอบปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติของทางราชการ 23 ปัญหา (สานักจุฬาราชมนตรี
มปพ. : น.142 – 143.)
14 การถามตอบ เช่น พิธีไหว้ครู การสวมกางเกงขาสั้นในชุดลูกเรือ และข้อจากัดในการฉลองงานเมาลิค (ด. : น.153-154.)
15 สร้างบนเนื้อที่ราชพัสดุประมาณ 50 ไร่ แขวงคลองสิน เขตหนองจอก โดยงบประมาณราชการเป็นเงินประมาณ 528 ล้าน
บาท (เอกราช มูเก็ม 2006 : น.48.)
17
ชมเชยจากประชาคมโลก16 (เสมียนอารีย์ “กันยายนทมิฬยึดสถานทูตอิสราเอล เปิดบันทึก เสธ.ทวี
หวิดดับเพราะข้าวหมกไก่ ออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 ธันวาคม 2019, อ้างอิงจากบันทึก เรื่องชาติอยู่
เหนือ สิ่งใดของพลอากาศเอกทวี จุลทรัพย์) นอกจากนี้ยังเกิดเหตุการณ์ประท้วงเพื่อคลุมฮิญาบของ
นักศึกษาวิทยาลัยครู ยะลา เมื่อปี 1987 ที่มีผลให้การคลุมฮิญาบกระจายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา
เอกราช มูเก็ม สรุปว่าจุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด มีบทบาทต่อกิจการศาสนาอิสลาม
มากและ นับเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงการบริหารกิจการอิสลามหลายด้าน ทั้งด้านการศึกษาและ
ด้านการเมือง ทาให้ สังคมมุสลิมเริ่มเกี่ยวพันกับสังคมภายนอกมากขึ้น เริ่มมีการนาบุคลากรผู้มีความรู้
ด้านศาสนาและปัญญาชนที่จบ จากต่างประเทศมาทางานมากขึ้น (เอกราช มูเก็ม 2006 : น.48.)
จุฬาราชมนตรีสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ได้ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการอิสลามประจา
จังหวัดทั่ว ประเทศ และได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ร.9 ท่านเป็นผู้มีความรู้ แตกฉานในศาสนาอิสลาม เนื่องจากได้ศึกษาในสถาบันศาสนาหลายแห่ง
รวมทั้งที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ใน ระหว่างที่ท่านดารงตาแหน่ง ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยสนับสนุน
กิจกรรมด้านศาสนา เช่น การเป็นผู้แทนไทยนาผู้แสวง บุญเดินทางนครมักกะฮ์ เป็นตัวแทนผู้ตัดสิน
การประกวดการอ่านมหาพระคัมภีร์อัลกุรอานที่ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ยังสนับสนุนการจัดงาน
เมาลิด ตลอดจนการเยี่ยมชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ รวมถึงให้การต้อนรับมุสลิม ชาวไทยและ
ชาวต่างชาติที่มาเยือนสานักจุฬาราชมนตรี (เอกราช มูเก็ม 2006 : น.49-51.)
อย่างไรก็ตามในสมัยจุฬาราชมนตรีสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ขบวนการมุสลิมที่ต่อต้านโลกายวิสัย
และโลกาภิ วัตน์ กลุ่มตาลิบันที่ระเบิดพระพุทธรูปบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ค.ศ. 2001 และในปี
เดียวกันนี้ได้มีการนา เครื่องบินชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า “เหตุการณ์
9/11” ได้มีการออกข่าวไปทั่วโลก อย่างรวดเร็วโดยสื่อตะวันตก ความคิดแบบสุดโต่งนี้ได้กระจายสู่
ชาวไทยมุสลิมบางกลุ่ม ทั้งนี้เห็นได้จากการพบ เอกสารเบอร์จิฮัด ที่เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2002 ซึ่งห่าง
จากเหตุการณ์ 9/11 เพียงปีเดียว จากนั้นในปี 2004 ได้เกิด การปล้นปืนค่ายทหารที่นราธิวาส
เหตุการณ์ได้บานปลายจนเกิดเหตุรุนแรงขึ้น เช่น ที่กรือแซะ เมื่อ ค.ศ. 2004 และตากใบในปีเดียวกัน
เหตุการณ์เหล่านี้มีผู้เสียชีวิตจานวนนับร้อยและสร้างรอยร้าวลึกให้กับสังคมไทย มีผลที่ดู เหมือนว่า
อาการกลัวมุสลิมกระจายออกไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อความ
สมานฉันท์แห่งชาติ โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และนักวิชาการ
บางคน เช่น น.พ ประเวศ วะสี ที่ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือชื่อ “ดับไฟใต้”
ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จุฬาราชมนตรีมีบทบาทช่วยคลี่คลาย
ปัญหา แต่ เนื่องจากจุฬาราชมนตรีถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล อีกปัจจัยหนึ่งคือจุฬาราชมนตรี
เป็นผู้มีพื้นเพเป็นมุสลิม ภาคกลาง ถูกกล่าวว่าปฏิบัติศาสนกิจบางประการต่างจากมุสลิมบางกลุ่มใน
ภาคใต้และถูกมองว่าเป็นพวกอนุรักษ์ นิยม นอกจากนี้ภายในองค์กรจุฬาราชมนตรียังมีความขัดแย้ง
กันระหว่างกรรมการในองค์กร (อ่านเพิ่มเติมในเอก ราช มูเก็ม 2006 : น.50-57.)
16 สถานการณ์ขณะนั้น จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีไ ด้มอบหมายให้พลอากาศเอกทวี จุลทรัพย์ เป็นผู้นาในการ
แก้ไข สถานการณ์ ชาวไทยและชาวโลกต่างเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความระทึกใจ เนื่องจากขบวนการกู้ชาติกลมนี้เพิ่งสังหาร
นักกีฬาทีมชาติ อิสราเอล ในงานมหกรรมกีฬาโอลมปิกที่ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 6 กันยายน ซึ่งเป็นเวลาที่ผ่านมาไม่กี่
เดือน
18
ในช่วงเวลาแห่งความทันสมัยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคม จุฬาราชมนตรียังมีคุณค่า
และความ จาเป็นต่อสังคมไทย เพราะเปรียบเสมือนคนกลางที่คอยกันแรงกระแทกจากความขัดแย้ง
ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ แต่ สถาบันจุฬาราชมนตรียังมีข้อจากัดหลายประการ ดังนั้นการปฏิรูปสถาบัน
จุฬาราชมนตรีจึงมีความจาเป็น
ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปสถาบันจุฬาราชมนตรี17
จุฬาราชมนตรีเป็นสถาบันที่มีความสาคัญในตนเอง เนื่องจากเป็นสถาบันที่ทาคุณประโยชน์
แก่สังคมไทย ต่อเนื่องยาวนาน ทั้งจุฬาราชมนตรียังได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่การ
ที่สถาบันได้รับการ วิพากษ์วิจารณ์ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดสมดุลย์ระหว่างบทบาทหน้าที่ของ
จุฬาราชมนตรีทั้งทางโลกและทางธรรม ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปสถาบันจุฬาราชมนตรีได้มาจาก
การประมวลความรู้ การสอบถามชาวไทยมุสลิมอย่างไม่ เป็นทางการและจากการวิเคราะห์
พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะเป็นเพียง
ทางเลือก ที่มาจาก“คนนอก” แต่อาจเป็นประโยชน์ในการปฏิรูปสถาบันจุฬาราชมนตรีให้ เหมาะสม
กับช่วงเวลาที่สังคมกาลังเปลี่ยนผ่านไปในศตวรรษที่ 21
ก่อนอื่นเพื่อความเข้าใจเรื่องที่จะเสนอแนะ ควรต้องทราบรากเหง้าปัญหาของสถาบัน
จุฬาราชมนตรี กล่าวคือ เดิมจุฬาราชมนตรีมีสถานะเป็นขุนนางเจ้ากรมท่าขวา สังกัดกรมโกษาธิบดี
ทาหน้าที่ด้านการค้าและการ ต่างประเทศ เป็นหัวหน้าทหารอาสาแขกและเป็นผู้นาชาวไทยมุสลิม ทั้ง
ทางด้านความเป็นอยู่ การตัดสินคดีความ และเรื่องเกี่ยวกับศาสนา
เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย บทบาทหน้าที่ของ
จุฬาราชมนตรีได้ เปลี่ยนไปตามการเมืองไทย การผูกพันกับบุคคลหรือพรรคการเมือง ทาให้สถาบัน
จุฬาราชมนตรีเสื่อมลง ดังเช่นใน ยุคจุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ ตาแหน่งจุฬาราชมนตรีเป็น
ยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการแบ่งแยก ดินแดนในเมืองชายแดนใต้ที่มีอังกฤษหนุนหลัง เมื่อ
ผู้นาทางการเมืองเปลี่ยนคน จึงเป็นเหตุให้จุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามต้องลี้ภัย
การเมืองออกนอกประเทศ มีผลกระทบสาคัญคือ ทาให้เกียรติภูมิของความ เป็นจุฬาราชมนตรีลดลง
เพราะผู้นาทางศาสนามีลักษณะพิเศษที่ควรดารงตาแหน่งตลอดชีพ
การลดชั้นของจุฬาราชมนตรียังคงดาเนินต่อไปในเส้นทางการเมือง กล่าวคือ พระราช
กฤษฎีกาว่าด้วยการ ศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พุทธศักราช ๒๔๘๘ ให้จุฬาราชมนตรีเป็นผู้นาทาง
ศาสนาอิสลาม และเป็นที่ปรึกษาใน พระมหากษัตริย์เกี่ยวกับกิจการศาสนูปถัมภ์ ซึ่งเป็นเค้าที่มีมาแต่
เดิม ต่อมาในปี 1948 ก่อนจุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์จะรับตาแหน่ง จอมพลแปลก พิบูล
สงคราม นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ได้ ปรับเปลี่ยนหน้าที่จุฬาราชมนตรีให้ทา
หน้าที่เป็นเพียงที่ปรึกษากรมการศาสนาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับศาสนูปถัมภ์ (เอกราช มู
เก็ม 2006 : น.46.) ด้วยจุดประสงค์ที่ตีความว่าต้องการลดอานาจของ พระมหากษัตริย์หรือจากัด
อานาจของคู่แข่งทางการเมืองที่จุฬาราชมนตรีเป็นพรรคพวก
17 ข้อเสนอแนะนี้ปรับปรุงจากบางตอนของบทความเรื่อง “จุฬาราชมนตรี ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย” นาเสนอ
ในงาน สัมมนาทางวิชาการมุสลิมศึกษาประจาปี 2010 (พ.ศ. 2553) จัดโดยศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 29 กันยายน – 2 กันยายน ค.ศ. 2010.
19
ปี 1947 จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้เชิญประธานกรรมการอิสลามประจาจังหวัดทุก
จังหวัดมาประชุม เพื่อเสนอตัวบุคคลที่จะเสนอชื่อโปรดเกล้าฯ ให้ดารงตาแหน่งจุฬาราชมนตรี ด้วย
เหตุนี้จุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณ ศาสน์ จึงเป็นจุฬาราชมนตรีท่านแรกที่มาจากการคัดเลือกและทา
หน้าที่เป็นที่ปรึกษากรมการศาสนา ภายหลังจาก นี้จุฬาราชมนตรีเป็นตาแหน่งที่ได้มาจากการ
คัดเลือก
สมัยจุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด ได้มีการร่างพระราชบัญญัติการบริหารองค์กร
ศาสนาอิสลามฉบับ ใหม่ ซึ่งมีการกาหนดให้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยซึ่ง
จุฬาราชมนตรีเป็นประธาน มีตัวแทนจาก จังหวัดละ 1 คน และกาหนดวาระตาแหน่งคณะกรรมการ
คราวละ 6 ปี ส่วนตาแหน่งจุฬาราชมนตรีไม่มีการแก้ไข โดยยังให้มีวาระตลอดชีพเหมือนเดิม
พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ประกาศใช้ใน ปลายสมัยจุฬาราชมนตรี
ประเสริฐ มะหะหมัด และใช้ต่อมาถึงปัจจุบัน โดยมี นายเด่น โต๊ะมีนา ที่ดารงตาแหน่ง รัฐมนตรีช่วย
ว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ผลักดัน (เอกราช มูเก็ม 2006 : น.47)
1.ข้อเสนอแนะบางประการ เกี่ยวกับตาแหน่งและการได้มาซึ่งตาแหน่งจุฬาราชมนตรี มีดังนี้
1.1 จุฬาราชมนตรีควรมีตาแหน่งเป็นผู้นาด้านศาสนาเพียงตาแหน่งเดียว
การที่จุฬาราชมนตรีทาหน้าที่ ทั้งทางโลกอย่างเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามแห่ง
ประเทศไทย และตาแหน่งทางธรรมนั้น ไม่เหมาะสมกับ ชาวไทยมุสลิมที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสังคม
ที่มีแนวโน้มไปสู่ทิศทางที่เป็นศาสนนิยม การสัมภาษณ์ไทยมุสลิมทาให้ ทราบว่ามุสลิมเหล่านี้ต้องการ
ผู้นาที่เป็นผู้มีความรู้ด้านศาสนาเป็นอย่างดี และเป็นตัวอย่างของผู้มีคุณธรรม จริยธรรม เช่นเดียวกับ
ศาสดามุฮัมหมัด ดังนั้นจุฬาราชมนตรีจึงควรใช้เวลามุ่งศึกษาศาสนาให้แตกฉานยิ่งขึ้น ประกอบกับ
การเปลี่ยนแปลงของจานวนประชากรไทยมุสลิมที่เพิ่มขึ้น18 จึงจาเป็นที่ต้องมีสถาบันที่ดูแลเอาใจใส่ให้
ความสะดวกแก่มุสลิมในการปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเข้มแข็ง เช่น การเดินทางไปทาพิธีฮัจย์ หรือ
ให้การ สนับสนุนด้านการศึกษาและคุณธรรม จริยธรรม โดยเฉพาะเยาวชนไทยมุสลิมที่ตกอยู่ภายใต้
สังคมทุนนิยมที่เกิน ขอบเขต รวมทั้งการสนับสนุนงานด้านการสงเคราะห์ที่ให้ความช่วยเหลือมุสลิมที่
ด้อยโอกาส และสนับสนุนให้ มุสลิมไทยได้ร่วมมือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ยาเสพติด สื่อลามก
หรืออาชญากรรมต่าง ๆ ตลอดจนการ สนับสนุนให้มีการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างชาวไทยมุสลิม
ด้วยกันและระหว่างชาวไทยมุสลิมกับชาวไทยที่ไม่ได้ นับถือศาสนาอิสลาม งานด้านต่าง ๆ ที่กล่าว
มาแล้วนั้นเป็นงานหนัก ด้วยเหตุนี้จุฬาราชมนตรีจึงควรมีตามหน้าที่ เฉพาะด้านศาสนาเพียงหน้าที่
เดียว
1.2 การได้มาซึ่งตาแหน่งจุฬาราชมนตรี ไม่ควรใช้วิธีการคัดเลือก
เพราะการใช้วิธีการคัดเลือกอาจทาให้ ผู้ประสงค์ตาแหน่งจุฬาราชมนตรีถูกผลักดันให้หา
ผู้สนับสนุนหรือต้องขอความช่วยเหลือจากนักการเมือง ทาให้มี การตอบแทนด้วยผลประโยชน์บาง
ประการในภายหลัง ข้อเสนอแนะเช่นนี้อาจมีผู้คัดค้าน ดังเช่นผู้เขียนบทความผู้ หนึ่งแสดงความเห็น
18 16 เปรียบเทียบการสารวจสามะโนประชากรและเคหะ ค.ศ. 2015 มีประชากรมสลม 2,892,311 เพิ่มกว่าปี 2010 ,
4.29% ค.ศ.2018 มีประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้น 5.37% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2015 จาก “Population by religion, region
and area, 2015” ( PDF) . NSO. Retrieved 10 January 2018. แ ล ะ “ Population by religion, region and area,
2018”. NSO. Retrieved 10 March 2021.
20
เรื่องจุฬาราชมนตรีกับการเมืองไว้ในบทความเรื่อง เมื่อจุฬาราชมนตรีเข้าไปถึงมือนักการเมือง ได้มี
มุสลิมบางกลุ่มมีความเห็นว่าจุฬาราชมนตรีจะต้องเล่นการเมืองด้วย ไม่เช่นนั้นมุสลิมจะเสียเปรียบ
และถูกกดขี่19 ผู้เขียนบทความผู้นี้มีความเห็นว่า แม้ว่าอิสลามแยกการเมืองไม่ได้ (ตั๊กแตนตาข้าว
ม.ป.ป. : น.217.) แต่ จุฬาราชมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองน่าจะจากัดอยู่บนพื้นฐานของการพิทักษ์
สิทธิและผลประโยชน์ของมุสลิมใน ฐานะผู้นาทางศาสนามิใช่ในฐานะนักการเมืองที่เป็นผู้แทนราษฎร
(ด. : น.220.) ผู้เขียนบทความนี้ยังได้แสดงความกังวลว่า ถ้าจุฬาราชมนตรีมีมือของนักการเมืองเข้ามา
ยุ่งเกี่ยวจะทาให้ได้จุฬาราชมนตรีที่ไม่ได้รับการยอมรับจาก มหาชน (ด. : น.217.)
บทความนี้ยังสรุปว่าจุฬาราชมนตรีไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับนักการเมือง เพราะจะไม่ได้รับความ
เชื่อถือจากสังคม ความเห็นของผู้เขียนบทความนี้ให้ข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่า อิสลามอาจแยกจาก
การเมืองไม่ได้ แต่สถาบัน จุฬาราชมนตรีควรแยกออกจากพรรคการเมืองต่าง ๆ เพราะอาจเป็น
ช่องทางให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมือง หนึ่งเข้ามามีอิทธิพลเพื่อหาเสียงจากประชาคมมุสลิม อีก
ทั้งตาแหน่งจุฬาราชมนตรีซึ่งเป็นผู้นากิจการด้านศาสนา ต้องวางตัวเป็นกลางไม่ลาเอียงเข้าข้างพรรค
การเมืองใด ๆ ถ้าจุฬาราชมนตรีเข้าข้างพรรคการเมืองใดพรรค การเมืองหนึ่ง อาจเกิดความแตกแยก
ในสังคมมุสลิมได้ สรุปว่าขบวนการคัดเลือกจุฬาราชมนตรีอาจเป็นช่องทางที่ ทาให้มีพรรคการเมือง
เข้ามาแทรกแซงสถาบันจุฬาราชมนตรี ที่ทาให้สถาบันจุฬาราชมนตรีไม่ใช่เป็นสถาบันซึ่งมี บทบาท
หน้าที่เกี่ยวกับศาสนาอย่างแท้จริง ความเห็นเพิ่มเติมจากบทความนี้คือการได้มาซึ่งตาแหน่ง
จุฬาราชมนตรี อาจใช้หลักการปรึกษาหารือหรือ “ชูรอ”20 เพื่อลดการแทรกแซงทางการเมืองและ
ความขัดแย้งรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น
1.3 การปรับปรุงสานักจุฬาราชมนตรีให้เป็นสถาบันอิสระภายใต้กากับรัฐบาล
ในปัจจุบันจุฬาราชมนตรีเป็นหน่วยงานอยู่ในระบบราชการ ซึ่งมีส่วนดีคือได้รับงบประมาณ
อุดหนุนจาก ราชการ แต่ทาให้จุฬาราชมนตรีเป็นสถาบันที่ผูกติดอยู่กับองค์กรใหญ่ที่อุ้ยอ้ายจนยากที่
จะเคลื่อนไหว ประกอบกับ ข้อเท็จจริงที่ว่าสังคมไทยได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนต้องเผชิญกับปัญหา
สังคมในหลากหลายรูปแบบ ดังปรากฏ อยู่ในข่าวหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์อยู่เป็นประจา
จุฬาราชมนตรีจึงต้องมีความคล่องตัวในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ จาก ความเห็นของพระไพศาล วิสาโล
ว่าการที่สถาบันศาสนาผูกติดเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการของรัฐชาติ สมัยใหม่ (Modern Nation
State) มีผลเสียเพราะรัฐชาติสมัยใหม่ไม่ได้สนใจศาสนา แต่เป็นเพียงกลไกหนึ่งของ เครื่องจักรอัน
กว้างใหญ่ไพศาลที่ไร้สภาพบุคคล (Impersonal) ดังนั้นการที่รัฐเข้ามาครอบงากากับพระสงฆ์ จึงยาก
ที่จะหวังได้ว่าเป็นไปเพื่อทานุบารุงศาสนา21
การยกเรื่องสถาบันสงฆ์ไทยมากล่าวเพื่ออธิบายว่า สถาบันจุฬาราชมนตรีมีสถานภาพ
คล้ายกัน ทาให้ จุฬาราชมนตรีมีอานาจหน้าที่ในงานด้านศาสนาอย่างจากัด เมื่อเปรียบเทียบกับ
19 ตั๊กแตนตาข้าว (ม.ป.ป.) เมื่อจุฬาราชมนตรีเข้าไปถึงมือนักการเมือง. ในจุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์และความเป็นมา
ของ ตาแหน่งจุฬาราชมนตรี. หน้า 208.
20 สามารถ ทองเฝือ 2019 : น.108-116. และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน สะสือรี วาลี 2014 : น.175.
21 พระไพศาล วิสาโล มีความเห็นว่าในอดีต (หมายถึงก่อนที่ไทยจะเป็นรัฐสมัยใหม่) พระมหากษัตริย์ไทยเข้ามาควบคุมทากับ
พระสงฆ์ โดยมีจุดมุ่งหมายประการหนึ่ง คือ การนานุบารุงพระพุทธศาสนา ค้นคว้าเพิ่มเติมได้จากพระไพศาล วิสาโล.
“อนาคตของ พุทธศาสนาในไทย” ในวิถีทรรศ์ชุดโลกาภิวัฒน์ 11 พุทธวิบัติ วิกฤติศาสนายุคธนาธิปไตย. หน้า 41-76.
21
ภาระหน้าที่ในฐานะผู้นากิจการศาสนาอิสลามซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย ทาให้จุฬาราชมนตรีถูกวิจารณ์ว่า
เป็นเครื่องมือของรัฐ ถ้าพิจารณา พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 พบว่า
หน้าที่หลักของจุฬาราชมนตรีคือ เป็นผู้นา กิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทยและให้คาปรึกษาแก่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการ กรทรวงศึกษาธิการ พบว่ายังไม่เพียงพอ ทา
ให้การปฏิบัติงานของจุฬาราชมนตรีมีข้อจากัดจึงไม่เป็นไปตามความ คาดหวังของสังคม ดังเช่นเมื่อ
เกิดกรณีความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนล่าง จุฬาราชมนตรีมีบทบาท ไม่เด่นชัดในการ
แก้ปัญหา ทาให้จุฬาราชมนตรีต้องเผชิญวิกฤตศรัทธาจากสังคมโดยเฉพาะสังคมมุสลิม
การกู้วิกฤตศรัทธาได้นั้น กฎหมายต้องเปิดโอกาสให้จุฬาราชมนตรีสร้างความสัมพันธ์ที่
สมดุลย์ระหว่าง สถาบันจุฬาราชมนตรีกับรัฐ เช่นการเป็นสถาบันอิสระภายใต้กากับของรัฐบาล และ
ความสัมพันธ์ระหว่าง จุฬาราชมนตรีกับมุสลิมกลุ่มต่าง ๆ ตลอดจนความสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม
โดยดาเนินบทบาทหน้าที่ได้อย่าง รวดเร็วฉับไวไม่ผ่านระบบราชการกันรอยืดยาด ด้วยเหตุผลดังกล่าว
สถาบันจุฬาราชมนตรีจึงจะสามารถทาหนาที่ และมีบทบาทในการนาคุณค่าทางศาสนามาเป็นหลักใน
การพัฒนาสังคมและเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมใน ปัจจุบันได้อย่างรู้เท่าทันและมี
ประสิทธิภาพ
2. ด้านบารมี เหตุใดจุฬาราชมนตรีจึงต้องมีบารมี เหตุผลสาคัญคือการที่สังคมมุสลิมมีลักษณะความ
เป็นศาสน นิยมอย่างเข้มข้น เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมพุทธศาสนาที่มีความเป็นปัจเจกบุคคลมากกว่า
จุฬาราชมนตรีจึงต้อง เป็นผู้นาที่มีบารมี นอกจากนี้บารมียังเป็นอานาจบังคับบัญชาที่เป็นธรรมชาติ
และเหมาะสมสาหรับผู้นาทางศาสนา อย่างไรก็ตาม บารมี มีความหมายกว้าง แต่ในบทความนี้จะ
กล่าวถึงการเป็นผู้นาที่มีบารมี ซึ่งเหมาะสมกับ จุฬาราชมนตรี ดังนี้
2.1 ด้านการศึกษา ในบทความนี้นาความคิดเห็นของจุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ เกี่ยวกับ
การศึกษาว่า มุสลิมต้องเป็นผู้มีการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม ท่านให้ความเห็นไว้ตอนหนึ่งว่า
การศึกษามีอยู่สองอย่าง คือ ความคิดกับความจา ความเจริญอยู่ที่ความคิดไม่ได้อยู่ที่ความจา ท่านได้
อ้างอิงพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า ได้สอน ให้ใช้ปัญญาทั้งสิ้น ความเห็นของจุฬาราชมนตรีแช่ม
พรหมยงค์ สอดคล้องกับความหมายการศึกษาที่ว่าผู้มีความรู้ ในด้านต่าง ๆ ย่อมมีความสามารถใน
การนึกคิดและแก้ไขปัญหา การที่จุฬาราชมนตรีจะเป็นผู้มีบารมีตาม ความหมายที่กล่าวมานั้นต้องมี
ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม
2.1.1 ความรู้ด้านทางธรรม สืบเนื่องจากความคิดเห็นของไทยมุสลิมที่ต้องการให้ผู้ที่ดารง
ตาแหน่งจุฬาราชมนตรีเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมสูง และมีความรู้ทางด้านศาสนาอย่างดียิ่ง ทั้งนี้
เพราะจุฬาราชมนตรีต้องทาหน้าที่อย่างเป็นทางการคือ เป็นผู้นาด้านศาสนาของไทยมุสลิม ที่ให้
คาปรึกษาและเสนอความ คิดเห็นต่อทางราชการเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลาม การออกประกาศแจ้ง
ผลการดูดวงจันทร์เพื่อกาหนดวันสาคัญ ทางศาสนา และที่สาคัญคือ การออกประกาศเกี่ยวกับข้อ
วินิจฉัยตามหลักบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม ขณะเดียวกัน จุฬาราชมนตรีควรทาหน้าที่อื่น ๆ อย่างไม่
เป็นทางการ เช่น การสนับสนุนให้มีการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมใน สังคมมุสลิม และควรเป็นผู้
เสนอแนะให้มีการแก้ไขปัญหาสังคมโดยใช้มิติทางศาสนาอิสลามเข้ามาสนับสนุน แต่ถ้า จุฬาราชมนตรี
มีความเป็นโลกายนิยมที่เด่นชัดและไม่มีความรู้ทางด้านศาสนาเป็นอย่างดีก็จะทาให้ไม่ได้รับความ
22
เชื่อถือจากสังคมทั้งไทยมุสลิมและมุสลิมนานาชาติ ดังนั้น ความประพฤติดีและความรู้ทางธรรมจึงเป็น
อานาจบารมี ที่สาคัญของจุฬาราชมนตรี
2.1.2 ความรู้ด้านทางโลก การศึกษาเป็นองค์ประกอบสาคัญของสังคมในการปลูกฝัง
วัฒนธรรม และจริยธรรมให้แก่สมาชิกในสังคม ผู้ดารงตาแหน่งจุฬาราชมนตรีควรเป็นผู้สนใจใฝ่ศึกษา
วิชาการทางโลกด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นพื้นฐานให้จุฬาราชมนตรีสามารถศึกษาวิชาการต่าง ๆ ที่ช่วยให้
เข้าใจเรื่องศาสนาทั้งศาสนาอิสลามและ ศาสนาต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น เช่น วิชาสังคมวิทยาศาสนา วิชา
จิตวิทยาศาสนา วิชาเทววิทยา และวิชาเกี่ยวกับศาสนา ต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะคุณสมบัติของ
จุฬาราชมนตรีที่บัญญัติไว้ในกฎหมายข้อหนึ่งคือ จุฬาราชมนตรีเป็นผู้มี ความสัมพันธ์อันดีกับทุก
ศาสนา จุฬาราชมนตรียังต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการ และหน่วยงานเอกชน รวมทั้ง ผู้คนที่ไม่ใช่
มุสลิม นอกจากนี้จุฬาราชมนตรีมีตาแหน่งเป็นหัวหน้าผู้แทนไปประกอบพิธีฮัจย์ หรือเป็นผู้แทนไทย
ติดต่อกับต่างประเทศในกิจการเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม การที่จุฬาราชมนตรีสนใจใฝ่ศึกษาทาให้การ
ติดต่อกับ ชาวต่างชาติในฐานะผู้นาไทยมุสลิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีทั้งความรู้เกี่ยวกับ
ประเทศของตนและความรู้ที่ เกี่ยวกับสังคมประเทศต่าง ๆ ที่ติดต่อเกี่ยวข้องในหลากหลายมิติ ที่
สาคัญก็คือความรู้ทางโลกทาให้จุฬาราชมนตรี สามารถให้คาแนะนามุสลิมผู้มีความทุกข์ในการ
แก้ปัญหา ตลอดจนสามารถอธิบายหลักการและคุณค่าของศาสนา อิสลามแก่เยาวชนซึ่งเป็นคนรุ่น
ใหม่ให้มีความศรัทธาควบคู่ไปกับการเลือกใช้ชีวิตโลกทัศน์นิยมโดยไม่ขัดกับหลัก ศาสนา ตลอดจน
สามารถอธิบายให้ผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามให้เข้าใจศาสนาอิสลามได้อย่างน่าเชื่อถือและ
สมเหตุสมผล ความรู้จึงเป็นที่มาของอานาจบารมีที่สาคัญอีกประการหนึ่งของจุฬาราชมนตรี
2.2 ด้านความเมตตา คาสอนในศาสนาทุกศาสนาได้สอนให้คนมีความรักและความเมตตา
เช่น คริสต์ ศาสนาสอนให้มนุษย์รักผู้อื่นเหมือนรักตัวเราเองและเน้นการบริจาคทาน พระพุทธศาสนา
สอนให้มีความเมตตา กรุณาต่อคนและสัตว์และการบริจาค สาหรับหลักปฏิบัติสาคัญในศาสนาอิสลาม
ก็เช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้จาก หลักปฏิบัติที่ให้มีการบริจาค (Zagat) คาสอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความ
รักและเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รวมทั้งคา ทักทายที่ว่า “ขอสันติสุขจงบังเกิดแก่ท่าน และขอให้พระเจ้า
คุ้มครอง” เป็นต้น ดังนั้นจุฬาราชมนตรีจึงควรเป็นผู้มี เมตตาสูง ความเมตตาของจุฬาราชมนตรีอาจ
แสดงได้หลายประการที่สาคัญคือสนับสนุนมุสลิมที่ด้อยโอกาสให้ได้ปฏิบัติตามหลักศาสนา เพื่อพวก
เขาจะได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเท่าเทียมกับมุสลิมคนอื่น เช่นเดียวกับการเมตตา
สั่งสอนมุสลิมที่ประพฤติผิดให้กลับใจโดยใช้วิธีการสื่อสาร เช่น การสื่อสารด้วยวิทยุ หรือ โทรทัศน์ ให้
มุสลิมไทยได้เข้าใจและปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างแท้จริง นอกจากนี้จุฬาราชมนตรีควรมีเมตตาโดย
การเป็นผู้นาในการลดช่องว่างระหว่างมุสลิมที่มีการศึกาดีกับผู้ที่ไม่มีการศึกษาหรือมุสลิมที่มีฐานะ
ร่ารวย กับมุสลิม ที่มีฐานะยากจน เช่น การเชิญชวนให้บริจาคเพื่อทาบุญกับคนยากจน ซึ่งปัจจุบัน
มุสลิมมักทาบุญเฉพาะในหีมญ่ าติ พี่น้อง จุฬาราชมนตรีควรเตือนให้พวกเขาเหล่านั้นทาบุญตามหลักที่
ศาสนาบัญญัติไว้ หรือสร้างปฏิสัมพันธ์กับ มุสลิมนิกายอื่น เพื่อให้พื้นที่และไม่ผลักให้มุสลิมที่ต่างสานัก
คิดเป็นคนชายขอบ
การปฏิรูปสถาบันจุฬาราชมนตรี ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เช่น การจัดสรร
งบประมาณ ต่าง ๆ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นทางเลือกหรือตัวช่วยในการทางานให้รวดเร็ว
และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างคือ การจัดทาแบบสารวจความต้องการต่าง ๆ และปัญหาที่
23
เกิดขึ้นในสังคมของชาวไทยมุสลิม เพื่อให้ สามารถแก้ไขปัญหาและทราบผลตอบรับหลังการทางาน
ของสถาบันจุฬาราชมนตรีได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงเพิ่มช่อง ทางการติดต่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้
จุฬาราชมนตรีจึงควรจัดให้มีการสัมมนาระดมความคิดเพื่อปฏิรูปสถาบัน รวมถึงเพิ่มมุมมองที่เล็งเห็น
ไปถึงแนวโน้มในอนาคตอีกด้วย
บทสรุป
ในต้นศตวรรษที่ 21 มีแนวคิดที่ท้าทายโลกศาสนา รวมทั้งโลกมุสลิม ดังจะเห็นจากตาราง
ดังนี้22
แนวคิด สาระสาคัญ
1. แนวคิดมนุษยนิยม มนุษย์มีศักยภาพที่จะบรรลุสิ่งสูงสุดนั้นได้ด้วย
ตนเอง จึงไม่จาเป็นต้องนึกถึงโลกหน้า ความรู้
ด้านศาสนาไม่ใช่ ความรู้ที่แท้จริง เนื่องจาก
มนุษย์มีคุณค่า การปฏิบัติ อย่างมีมนุษยธรรม
เพียงพอ เพราะหลักศีลธรรมบางอย่างไม่
สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์
2. แนวคิดทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจซึ่งเปิดให้การค้าการผลิตและเค
รี่องมือ การผลิตเป็นสมบัติและควบคุมโดย
เอกชน ผู้เป็น เจ้าของ เพื่อสร้างกาไรสูงสุดให้กับ
ตนเอง ทุนนิยม กาหนดความสัมพันธ์ทางสังคม
ทั้งหมด ทั้งในส่วนที่ เป็นรูปธรรมและนามธรรม
3. โลกายวิสัย การแยกระหว่างเรื่องทางโลกและทางธรรม
ด้วยอุดม คติที่ว่าไม่ให้ศาสนาครอบงาสังคม จึง
เป็นสังคมที่มี ขันติธรรมต่อความแตกต่าง
จริยธรรม โลกายวิสัย เชื่อ ว่ามนุษย์บรรลุชีวิตที่
มีได้ด้วยวิธีการเชิงวัตถุ (ไม่ใช่ ปฏิบัติตามคา
สอนศาสนา) วิทยาศาสตร์ให้คาตอบแก่ มนุษย์
ได้ทุกอย่าง เชี่อว่าการทาความดีแก่โลกนี้โดยไม่
หวังผลตอบแทนในโลกหน้า
4. ประชาธิปไตย (แบบเสรีนิยม) การปกครองระบอบนี้ ตั้งอยู่บนหลักการว่า ทั้ง
รัฐและ สังคมของปัจเจกบุคคลต้องยอมรับ
เสรีภาพในการ เลือกวิถีชีวิตและนโยบาย
สาธารณะ ประชาธิปไตย(เสรี นิยม) กาลังมี
อิทธิพลในโลกปัจจุบัน
22 สรุปความจาก นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2014 “อิสลามกับโลกสมัยใหม่” คนหนุ่มสาวมุสลมกับโลกสมัยใหม่ : น.23-31.
24
แนวคิด สาระสาคัญ
5. รัฐประชาชาติ รัฐประชาชาติแบบใหม่ ตั้งอยู่บนหลักการ 2
ประการ
1.รัฐเป็นสมบัติส่วนรวมของพลเมืองทุกคน
2.พลเมืองทุกคนมีความเสมอภาคกัน หลักการ
ทั้งสองไม่เกี่ยวกับศาสนา
6. โลกทรรศน์เชิงวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเป็นที่มาของ
อานาจ และโภคทรัพย์อย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ระบบคุณค่า ถูกอธิบายด้ว ยมุมมองทาง
วิทยาศาสตร์แทนมหิทธานุ ภาพของพระเจ้า
และวิธีการศึกษาหาความรู้แบบ วิทยาศาสตร์ไม่
เกี่ยวกับศีลธรรม และยังถูกกากับด้วย
การแสวงหากาไรของระบบทุนนิยมอีกด้วย
จากตารางแนวคิดในสังคมช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนผ่านสู่ศตวรรษที่ 21 แล้วหวนมาศึกษาการ
เปลี่ยนแปลง บทบาทหน้าที่ของสถาบันจุฬาราชมนตรีในสังคมไทย พบว่าจุฬาราชมนตรีได้ปรับตัวใน
แต่ละยุคสมัยได้อย่าง เหมาะสม ซึ่งทาให้สถาบันนี้อยู่คู่กับสังคมไทยมาได้อย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบัน สังคมไทยมีแนวโน้มที่ จะถอยห่างจากสภาวะโลกายนิยมโดยหันเข้าหาศาสนาเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิม แต่สถาบันจุฬาราชมนตรี เปลี่ยนบทบาทเพื่อตอบสนองความต้องการได้ช้า
จึงเป็นเหตุให้ความสาคัญของสถาบันจุฬาราชมนตรีค่อย ๆ ลดลง
สถาบันศาสนามีคุณค่าต่อสังคมในการสร้างความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ และสนับสนุนให้
สมาชิกดาเนนชีวิต ไปในวิถีที่ดีงาม ทั้งยังทาให้สังคมมีความเป็นเอกภาพและสันติสุข ดังนั้นสถาบันที่
ดาเนินการเกี่ยวกับศาสนา ดังเช่น สถาบันจุฬาราชมนตรีจึงมีความสาคัญต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางสังคมทันสมัยซึ่งกาลังเคลื่อนตัวอยู่ในต้น ทศวรรษที่ 21 มีแนวความคิดกระแสใหม่ที่อาจทา
ให้สังคมรุนแรงขึ้นภาพลักษณ์ของมุสลิมจึงอาจทวีความน่ากลัว เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเพื่อสันติสุขของ
สังคมและความคงอยู่ของสถาบัน สถาบันจุฬาราชมนตรีจึงควรพิจารณาอย่าง รอบคอบ เพื่อปฏิรูป
สถาบันให้ทันการกับสังคมที่เปลี่ยนไป ดังเช่นที่สถาบันจุฬาราชมนตรีเคยปรับตัวมาแล้วในอดีต
25
บรรณานุกรม
หนังสือ
กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชานเมือง. (มปป.). จุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณสาสน์ และความ
เป็นมาของ ตาแหน่งจุฬาราชมนตรี. กรุงเทพฯ: เรือนอักษร.
คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย. (2540). พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนา
อิสลาม พ.ศ.2540: กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการบริหารองค์กรศาสนา
อิสลามในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. (2546). ขุนนางกรมท่าขวา : การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึง
สมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2153 – 2345. กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะ
อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บูฆอรี ยีหมะ. (2006). นักการเมืองถิ่นจังหวัดปัตตานี. กรุงเทพฯ:สถาบันพระปกเกล้า.
สะสือรี วาลี. (2014). กระบวนการชูรอวิถีการบริหารการปกครองตามหลักศาสนาอิสลาม.
กรุงเทพฯ: สานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย.
สานักจุฬาราชมนตรี. (มปป.). ศาสนาอิสลามในประเทศไทย. ไม่ปรากฏชื่อจังหวัด: สานัก
จุฬาราชมนตรี.
สุชาติ เศรษฐมาลินี. (2016). จิตนาการอิสลามเชิงสังคมวิทยา. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจากัดภาพ
พิมพ์
สุพจน์ ด่านตระกูล. (2004). อดีตจุฬาราชมนตรี แช่ม พรหมยงค์. นนทบุรี: สถาบันวิทยาศาสตร์
สังคมแห่งประเทศไทย.
สุพจน์ ด่านตระกูล. (2547). อดีตจุฬาราชมนตรี แช่ม พรหมยงค์ (ซาชุดดิน มุสตาฟา) กับ ๔
จังหวัดชายแดน ภาคใต้. กรุงเทพฯ: สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย).
เสาวณีย์ จิตต์หมวด. (1992). วัฒนธรรมอิสลาม. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ทางนา.
เอกราช มูเก็ม. (2006). จุฬาราชมนตรี ประวัติศาสตร์ผู้นาไทยมุสลิม. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ร่วม
ด้วยช่วยกัน.
แฮรารี, ยูวัล โนอาห์. (2019). 21 บทเรียนสาหรับศตวรรษที่ 21. 21 Lessons for the 21th
Century แปลโดย ดร.นาชัย ชีววิวรรธน์และธิดา จงนิรามัยสถิต. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ยิปซี.
บทความ
จารูญ เด่นอุดม, พล.ต.ต. (2007). “สัมภาษณ์พิเศษอารีฟิน บินจิ”. สัญญาณอันตราย...สงคราม
กลางเมือง. ไม่ปรากฏชื่อจังหวัด: ศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้
ซาฟีอี บารู. (2009). “อิสลามาภิวัตน์ในอุษาคเนย์”. โลกของอิสลามและมุสลิม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโต
โยต้าประเทศ ไทย.
ตั๊กแตนตาข้าว. (ม.ป.ป.). เมื่อเรื่องจุฬาเข้าไปถึงมือนักการเมือง. ใน จุฬาราชมนตรี ต่วน สุวรรณ
สาสน์ และ ความเป็นมาของตาแหน่งจุฬาราชมนตรี. กรุงเทพฯ: เรือนอักษร.
26
นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2014). “อิสลามกับโลกสมัยใหม่”. คนหนุ่มสาวกับโลกมุสลิมสมัยใหม่. ผศ.ดร.สุ
ชาติ เศรษฐมาลินี, ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเด๊ะ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: คณะทางานวาระทาง
สังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พลับพลึง คงชนะ. (2553). “จุฬาราชมนตรีท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย”. งานสัมมนาทาง
วิชาการมุสลิม ศึกษาประจาปี 2553 มุสลิมในแผ่นดินไทย : บทบาทชาวไทยมุสลิมในการ
สร้างสรรค์สังคมไทย.
พลับพลึง คงชนะ. (2560). “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรา
มาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตรกับคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับ
ความหมายภาษาไทย”. วารสาร ประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปีที่ 42
ฉบับสิงหาคม 2560 – กรกฎาคม 2561 น.12- 29.
พันธกร นามดี. (2021). “การประท้วงครั้งใหญ่ปัตตานี พ.ศ. 2518 : บทเรียนที่ถูกลืม”. วารสาร
มนุษย์สังคม ปริทัศน์ (มสป.). ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 กรรกฎาคม - ธันวาคม 2021. หน้า 50 – 61.
ราลึกลุงแช่ม พรมยงค์ อดีตจุฬาราชมนตรีกับมรดกที่มีการสานต่อ. (1989, สิงหาคม). Islamic
Guidance Post. หน้า 13.
ศราวุฒิ อารีย์. (2014). “อิสลามกับแนวคิดโลกวิสัยตามแนวคิดกระแสฟื้นฟูอิสลาม ข้อถกเถียง
จากมุฮัมหมัด อิมารอฮ์”. คนหนุ่มสาวมุสลิมกับโลกสมัยใหม่. กรุงเทพฯ: คณะทางานวาระ
ทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ศรีสมภพ จิตต์ภิรมย์ศรี. (1979). “สถานการณ์ภาคใต้ ปัญหาและทางออก”. มายาคติทาง
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม. มาลินี สิทธิเกรียงไกร (บรรณาธิการ). เชียงใหม่: ศูนย์ศึกษา
ชาติพันธุ์และการพัฒนา คณะ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สามารถ ทองเฝือ. (2019). “หลักการปรึกษาหารือ”. อิสลามกับการเมือง. ปัตตานี: ปัตตานีฟอร์ม.
เสมียนอารีย์. (2562). “28 ธ.ค. 2515 กันยาทมิฬยึดสถานทูตอิสราเอล เปิดบันทึกเสธทวีหวิดดับ
เพราะข้าวหมกไก่”. ศิลปวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: มติชน.
สุชาติ เศรษฐมาลินี, ผศ.ดร. (2009). “มุสลิมคือใครและมายาคติเกี่ยวกับมุสลิม”. มายาคติทาง
ประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรม. มาลินี สิทธิเกรียงไกร (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: ลานนามีเดีย
แอนด์โปรดักชั่น.
Imtiyaz. Yusuf, (1998, July). Islam and Democracy in Thailand : Reforming the Office
of Chularajmontri. In Journal of Islamic Studies. 9; (1998) pp. 277-298.
Dissertation
ธีรนันท์ ช่วงพิชิต. (2008). พิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการธารงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกาย
ชีอะห์ในสังคมไทย. วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชา
มนุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา ค.ศ. 2008.
พระระพิน พุทธิสาโร (ด้วงลอย). (2011). การศึกษาเชิงสารวจขบวนการพุทธใหม่ในประเทศไทย.
สารนิพนธ์ สาขาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย.
27
Plubplung Kongchana. (2010). Chularajmontri : A Religious Institution Amidst Social
Changes.Graduate School of Philosophy and Religion, Assumption University of
Thailand.
แหล่งข้อมูลออนไลน์





Comments